นายปัญญา บุญญาภิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ B เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม B ในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ยังคงเดินหน้าขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และบริษัทร่วมทุนด้านพลังงานทางเลือก ธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ รวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ยังส่งบริษัทลูก บริษัท บียอนด์ จำกัด ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC
“ครึ่งปีหลังภาพรวมผลการดำเนินของกลุ่ม B ยังโตต่อเนื่อง โดยบริษัทใช้เงินเพิ่มทุนที่ได้จากผู้ถือหุ้นในการขยายธุรกิจอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับมาสู่ผู้ถือหุ้น ตามแผนยุทธศาสตร์ที่โฟกัส 2 ธุรกิจหลักคือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Logistics และธุรกิจสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Utilities เชื่อว่าปี 2565 ผลประกอบการทั้งปีจะมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2564 ที่B มีกำไรสุทธิ 129 ล้านบาท”
สำหรับทิศทางของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มเติบโตที่ดี คาดผลประกอบการไตรมาส 2/2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2565 ที่รายได้จากการให้บริการด้านขนส่งขยายตัวเกือบ 15% โดยปัจจุบันบริษัทมีรถหัวลากในส่วนของซับคอนแทรค ที่เป็นพันธมิตร เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าจำนวนกว่า 200 คัน และมีรถหัวลากของบริษัท 66 คัน หลังจากที่บริษัทได้มีการขยายการให้บริการไปในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม ข้าวสาร และอาหารสัตว์ ที่มีปริมาณความต้องการใช้บริการสูงมาก
ส่วนธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ ดำเนินธุรกิจโดยบริษัท เทพฤทธา จำกัด อยู่ในช่วงของการเร่งสร้างรายได้ เพิ่มยอดขาย เพื่อให้ผลประกอบการสอดคล้องกับเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดได้ตามแผนภายใน 2 ปี
โดยล่าสุด คณะกรรมการบริษัท บี จิสติกส์ฯ ได้มีมติให้เทพฤทธาลงทุนซื้อบ่อน้ำพื้นที่ 6 ไร่ 40 ตารางวา เพื่อเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 12 ล้าน ลบ.ม. รองรับความต้องการของลูกค้า จากปัจจุบันที่ผลิตได้ประมาณ 5-8 ล้านลบ.ม.
นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัท บี จิสติกส์ ได้มีมติให้ให้ บริษัท บียอนด์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าศึกษาธุรกิจบริหารสินทรัพย์หรือ AMC เนื่องธุรกิจ AMC มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นตามภาวะหนี้สินภาคประชาชน ขณะที่ตัวเลขหนี้เสีย (NPLs) ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสลงทุนที่ดี สามารถสร้างผลกำไรต่อบริษัทเพิ่มยิ่งขึ้น
สำหรับการลงทุนด้าน Green Utilities บริษัทลงทุนผ่าน บริษัท เดอะ เมกะวัตต์ จำกัด ธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้ใส่เงินลงทุนเพิ่มอีก 300 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็นกว่า 46% ของทุนจดทะเบียนมติพิเศษ
ซึ่งการขยายเงินลงทุนในครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตในอนาคต เนื่องจากมองว่าธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีการซื้อขายในรูปแบบของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระยะยาวประมาณ 25-30 ปี จึงเป็นการการันตีรายได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งปี2564 บริษัท เดอะ เมกะวัตต์ มีกำไรสุทธิ 135 ล้านบาท และปี 2565 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.bangkokbiznews.com
|